English lessons ,English course
↓英会話学校 日本人向けのホームページはこちらから↓
www.tls-english.com(For Japanese student)
■Group English lesson
■Group English lesson (open every term!)
On weekend (Saturday or Sunday course) 9:45-12:45 or 13:15-16:15
1ครั้ง/ สัปดาห์ ค่าเล่าเรียน 4,990 บาท 44 บทเรียน
สมัครพร้อมวีซ่านักเรียน 34,500 บาท 210 บทเรียน
1time/ week Tuition Fee 4,990 THB 44 Lessons
Applying with ED Visa 34,500 THB 210 Lessons
On weekday(Monday , Wednesday ,Friday course) 9:45-12:45 or 13:15-16:15
3ครั้ง/ สัปดาห์ ค่าเล่าเรียน 4,990 บาท 44 บทเรียน
สมัครพร้อมวีซ่านักเรียน 34,500 บาท 210 บทเรียน
3times/ week Tuition Fee 4,990 THB 44 Lessons
Applying with ED Visa 34,500 THB 210 Lessons
ทางโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษได้แบ่งคอร์สเรียนเป็นดังนี้
■Private English lesson
1. คอร์สเรียนส่วนตัวกับอาจารย์ชาวไทย Private courses with Thai teachers
- เรียนที่โรงเรียน studying at school
9,450 baht 21 lessons ( 1 lesson 450 baht ) ← 11,550baht
17,640 baht 42 lessons ( 1 lesson 420 baht ) ← 23,100baht
25,200 baht 63 lessons ( 1 lesson 400 baht ) ← 34,650baht
39,900 baht 105 lessons ( 1 lesson 380 baht) ← 57,750baht
64,800 baht 180 lessons ( 1 lesson 360 baht) ← 99,000baht
91,800 baht 270 lessons ( 1 lesson 340 baht) ← 148,500baht
** 1 บทเรียน 45 นาที ( รวมเวลาพักแล้ว 5 นาที )
**1 Lesson 45 minutes, including 5 minutes break.
- เรียนที่บ้าน Studying at home / office
10,500 baht 21 lesson( 1 lesson 500 baht ) ← 12,600baht
19,740 baht 42 lesson ( 1 lesson 470 baht ) ← 25,200baht
28,350 baht 63 lesson ( 1 lesson 450 baht ) ← 37,800baht
45,150 baht 105 lesson ( 1 lesson 430 baht) ← 63,000baht
73,800 baht 180 lesson ( 1 lesson 410 baht) ← 108,000baht
105,300 baht 270 lesson ( 1 lesson 390 baht) ← 162,000baht
** 1 บทเรียน 45 นาที ( รวมเวลาพักแล้ว 5 นาที )
**1 Lesson 45 minutes, including 5 minutes break.
2. คอร์สเรียนส่วนตัวกับอาจารย์ชาวต่างชาติ Private courses with Native teachers
- เรียนที่โรงเรียน studying at school
13,650 baht 21 lessons ( 1 lesson 650 baht ) ← 15,750baht
26,040 baht 42 lessons ( 1 lesson 620 baht ) ← 31,500baht
37,170 baht 63 lessons ( 1 lesson 590 baht ) ← 47,250baht
58,800 baht 105 lessons ( 1 lesson 560 baht) ← 78,750baht
97,200 baht 180 lessons ( 1 lesson 540 baht) ← 135,000baht
140,400 baht 270 lessons ( 1 lesson 520 baht) ← 202,500baht
- เรียนที่บ้าน Studying at home / office
15,750 baht 21 lessons( 1 lesson 750 baht ) ← 17,850baht
30,240 baht 42 lessons ( 1 lesson 720 baht ) ← 35,700baht
43,470 baht 63 lessons ( 1 lesson 690 baht ) ← 53,550baht
69,300 baht 105 lessons ( 1 lesson 660 baht) ← 89,250baht
115,200 baht 180 lessons ( 1 lesson 640 baht) ← 153,000baht
167,400 baht 270 lessons ( 1 lesson 620 baht) ← 229,500baht
** 1 บทเรียน 45 นาที ( รวมเวลาพักแล้ว 5 นาที )
** 1 Lesson 45 minutes, including 5 minutes break.หลักการและเทคนิคการสอนของโรงเรียน
English grammar
Positive (ปัจจุบันกาล)
I am doing/working/going/staying
He/she/it is doing/working/going/staying
We / you/ they are doing/working/going/staying
Question (คำถาม)
Am I doing/working/going/staying
Is He/she/it doing/working/going/staying
Are we/you/they doing/working/going/staying
ประโยค Yes/ No question ให้นำ is/ am/ are ขึ้นต้นประโยค นอกนั้นก็เหมือนเดิม เช่น
Is it raining? ฝนกำลังตกใช่มั้ย
Are you driving a car? คุณกำลังขับรถใช่มั้ย
Is she working today? วันนี้เธอทำงานใช่มั้ย
Are you going now? คุณกำลังจะไปใช่มั้ย
สำหรับ Wh-question ตัวอย่างดังนี้
What are you wearing? คุณกำลังใส่อะไร
What/ Who/ Where/ How/why + verb to be + Verb-ing + (ส่วนเติมเต็ม) ?
Can/Could / Would you..?
Can + base form (can do / can play / can come, etc.)
I / we / you / they Can play
He / she / it Can’t / cannot Do See Come, etc.
can แปลว่าสามารถมีรูปอดีตคือ could ซึ่งใช้ได้กับทุกประธานและทุกพจน์ มีหลักการใช้ดังนี้ can ใช้ได้กับทุกประธาน ตามด้วยกิรยาช่อง 1 เสมอ เช่น และประธาน + ด้วย can’t หรือ cannot เป็นประโยค
ปฏิเสธ
ตัวอย่างประโยคที่ใช้ can
I can play the piano.ฉันสามารถเล่นเปียโนได้
She can eat durian.เธอสามารถทานทุเรียนได้
He can come to see me.เขาสามารถมาพบฉันได้
Suda can drive a car.สุดาขับรถได้
I can speak Japanese.ฉันสามารถพูดภาษาญี่ปุ่นได้
ตัวอย่างประโยคที่ใช้ can’t / cannot
I can’t speak Chinese.ฉันพูดภาษาจีนไม่ได้
I cannot eat spicy food.ฉันกินอาหารเผ็ดไม่ได้
He can’t come to the party tonight.เขาไม่สามารถมางานปาร์ตี้ได้
She couldn’t go to school.เธอไปโรงเรียนไม่ได้
Must และ have to
Must + base form (must be, must know, etc)
I / we / you / they must (not) be
He / she / it know Have Live etc.
ใน การใช้ must และ have to จะใช้ในการพูดถึงความจำเป็น ที่จะต้องทำอะไรบางอย่าง ซึ่งอาจจะใช้ได้ทั้ง 2 คำ เช่น I must go. หรือ I have to go. แต่ในบางครั้งความหมายอาจจะแตกต่างกัน
Must (ต้อง) ใช้ในความหมาย เกี่ยวกับเรื่องส่วนตัว หรือความรู้สึกส่วนตัว เช่น You must do it. (คุณจะต้องรู้) You must meet him (คุณจะต้องเจอเธอ)
Have to (ต้อง) ไม่เกี่ยวกับเรื่องส่วนตัว เราใช้ Have to สำหรับสิ่งที่เป็นจริง ไม่เกี่ยวกับความรู้สึกส่วนตัว
เช่น You have to turn right. (คุณจะต้องเลี้ยวขวา) I have to get up 6 am. (ฉันจะต้องตื่น ตอน 6 โมงเช้า)
ถ้า หากรู้สึกไม่แน่ใจว่าควรจะใช้อะไรดีระหว่า ง must หรือ Have to แนะนำว่าให้ใช้ Have to จะดีกว่าเพราะว่าสมารถใช้ได้เหมาะสมในทุกสถานการณ์
Must สามารถใช้ได้เมื่อพูดถึงเรื่องในปัจจุบัน หรืออนาคต แต่ใช้ในรูปอดีตไม่ได้
I must go now. ฉันต้องไปตอนนี้
We must go tomorrow.พวกเราต้องไปพรุ่งนี้
Have to สามารถใช้ได้ในทุกรูป ตัวอย่าง
I had to go to school. ฉันต้องไปโรงเรียน
you have to go to Siam? คุณต้องไปสยาม
Malee have to work on Sunday.มาลีต้องทำงานในวันอาทิตย์
และเมื่อใช้ Have to ในประโยคคำถามและปฏิเสธ โดยปกติสามารถใช้กับ do / does/ did
Why did you have to go to Siam? ทำไมคุณต้องไปสยาม
Why did Malee have to work on Sunday. ทำไมมาลีต้องทำงานในวันอาทิตย์
Can I / we / you / they do?
Could He / She / it play?
Would
เรา มักจะใช้ can หรือ could เพื่อการขอสิ่งของจากผู้อื่น หรือ เพื่อขอร้องให้ผู้อื่นทำบางสิ่งบางอย่างให้ วาง can ไว้หน้าเมื่อต้องการสร้างประโยคคำถาม และนอกจากนั้น เรายังสามารถใช้ will หรือ would เพื่อขอร้องให้ผู้อื่น ทำบางอย่างให้กับเราได้เช่นเดียวกัน เช่น
Request (การขอร้อง) เช่น
Can you open the door, please? กรุณาเปิดประตูหน่อย
Could you tell me how to go the airport? ณาบอกทางไปสนามบินหน่อย
Will you do me a favour? คุณช่วยฉันหน่อยได้ไหม
Asking for things (การขอ) เช่น
Could I have the sugar, please? ขอน้ำตาลหน่อย
Can I have the orange, please? ขอซื้อส้มหน่อย
Asking for and giving permission. (การขออนุญาต และการอนุญาต)
Can I speak to Malee, please? ขออนุญาตพูดกับคุณมาลี
Could I use your pen? ขอใช้ปากกาคุณได้มั้ย
May I come in? ขออนุญาตเข้าไป
Could I borrow you pen? ขอนุญาตยืมปากกา
Offering and inviting (การเสนอและการเชื้อเชิญ)
Would you like a cup of coffee? คุณต้องการกาแฟสักถ้วยไหม
Would you like to come to dinner? คุณต้องการมาทานอาหารเย็นไหม
Will you go to Phuket with us? คุณต้องการไปภูเก็ตกับเราไหม
ภาษาอังกฤษมาจากไหน
ในโลกนี้มีคนพยายามเรียนภาษาอังกฤษมากกว่าภาษาอื่น ๆ ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ใช้ในการทำข้อตกลงทางการเมือง การกระทำธุรกิจระหว่างประเทศ ใช้เป็นภาษาสากลในทางวิทยาศาสตร์และยา มีข้อตกลงที่เป็นสากลกล่าวว่าผู้ที่เป็นนักบินต้องพูดภาษาอังกฤษในการสื่อสาร
ภาษาอังกฤษเป็นภาษาต่างประเทศและเป็นภาษาหลักที่สอนอยู่ในอเมริกาใต้และยุโรป ในประเทศฟิลิปปินส์และประเทศญี่ปุ่น เด็กนักเรียนเริ่มเรียนภาษาอังกฤษตั้งแต่อายุยังน้อย ภาษาอังกฤษได้ถูกใช้เป็นภาษาทางการมากกว่า 75 ประเทศ รวมทั้งประเทศอังกฤษ แคนดา สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย และแอฟริกาใต้ในประเทศต่าง ๆ ที่มีคนพูดหลาย ๆ ภาษาในประเทศเดียวกัน ภาษาอังกฤษได้ถูกใช้เป็นภาษาทางการ เพื่อช่วยเหลือคนเหล่านั้นในการติดต่อสื่อสารซึ่งกันและกัน ประเทศอินเดียเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับเรื่องนี้ ในประเทศอินเดียภาษาอังกฤษเป็นเรื่องธรรมดา เพราะว่าภาษาที่ใช้พูดในประเทศนี้อย่างน้อยที่สุด 24 ภาษา ในประชากร ล้านกว่าคน ถ้าถามว่าภาษาอังกฤษมาจากไหน ทำไมถึงเป็นที่นิยมใช้ภาษานี้ ก่อนที่จะตอบคำถามเหล่านี้ เราต้องเดินทางย้อนกลับไปในช่วงเวลาประมาณ 5 พันปีมาแล้ว ที่ดินแดนทางเหนือของทะเลดำ (Black Sea) ในยุโรปตะวันออกเฉียงใต้ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าคนในบริเวณดินแดนแห่งนี้ได้พูดภาษาที่เรียกว่า โปรโต - อินโด - ยุโรเปียน (Proto – Indo – European) ภาษาที่ว่านี้ไม่ได้ใช้เป็นภาษาพูดอีกต่อไป นักวิจัยหลายคนไม่ทราบเป็นที่แน่นอนว่าภาษาที่ว่านี้มีลักษณะเป็นเช่นไรอย่างไรก็ตามเชื่อกันว่าภาษา โปรโต – อินโด – ยุโรเปียน เป็นภาษาของบรรพบุรุษของภาษาของชาวยุโรปส่วนใหญ่ รวมทั้งภาษากรีกโบราณ ภาษาเยอรมันโบราณ และภาษาละตินโบราณภาษาละตินนั้นไม่ปรากฏว่าเป็นภาษาพูดอีก อย่างไรก็ตามภาษาละตินจะผสมผสานอยู่ใน 3 ภาษาที่สำคัญ ๆ คือ ภาษาสเปนยุคใหม่ ภาษาฝรั่งเศส และภาษาอิตาเลียน ภาษาเยอรมันโบราณก็ได้สืบทอดและกลายเป็นภาษาดัทช์ ภาษาแดนิช ภาษาเยอรมัน ภาษานอรเวเจียน ภาษาสวีดิช และอีกภาษาหนึ่งที่ได้พัฒนามาเป็นภาษาอังกฤษภาษาอังกฤษเป็นผลลัพธ์ของการเข้าไปรุกราน (แผ่ขยาย) ในเกาะบริเตน เป็นเวลาหลายร้อยปีมาแล้ว ผู้รุกรานเหล่านั้นอาศัยอยู่ทางตอนเหนือตามชายฝั่งทะเลของยุโรปการรุกรานครั้งแรกโดยกลุ่มคนที่เรียกว่า แองเกิล (Angles) เมื่อประมาณ 1,500 ปีมาแล้ว พวกแองเกิลเป็นคนเยอรมัน (German tribe) เป็นพวกที่เข้ามาทางช่องแคบอังกฤษ หลังจากนั้นมีอีก 2 กลุ่ม ที่เข้ามาสู่บริเตน คือพวกเซกซันและจูทส์ (Saxons and Jutes) กลุ่มคนเหล่านี้ได้พบกับพวกเคลท์ซึ่งเป็นพวกที่อาศัยอยู่บนเกาะบริเตนนับเป็นเวลาหลายพันปีมาแล้ว พวกเคลท์ก็ได้ทำการสู้รบกับผู้ที่รุกรานเหล่านั้น
*เอกสารอ้างอิง : The History of English : Written by Paul Thomsom : www. Voaspecialenglish. com ( 21 and 28 December 2005)
**แปลและเรียบเรียง โดย อ. ณัฐวัชร์ ปรมาตร
*** บทความนี้ได้รับการแปลและเรียบเรียงจากบทความต้นฉบับที่เป็นภาษาอังกฤษซึ่งเขียนลงในเว็บไซด์ของ
www. voaspecialenglish.com โดย คุณพอล ทอมสัน (Paul Thomson) มีการลงบทความนี้ 2 ครั้ง คือ วันที่ 21 ธันวาคม 2548 และ วันที่ 28 ธันวาคม 2548 เช่นกัน โดยเนื้อหาของบทความมีความเกี่ยวเนื่องกัน โดยครั้งแรกตั้งเป็นหัวข้อคำถามว่าภาษาอังกฤษมาจากไหน และครั้งที่ 2 ภาษานี้มีการเจริญเติบโตอย่างไร